เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o มิ.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ให้ฟังธรรมก่อนเนาะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ทาน ศีล ภาวนา การรักษาศีล นี่มีทาน เรื่องของทาน เห็นไหม ศาสนาสำคัญมาก สำคัญเพราะว่าการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา เกิดจากการเสียสละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากการเสียสละนะ ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์เสียสละกันมาตลอด เห็นไหม การเสียสละเพื่อใคร? ก็เพื่อใจผู้เสียสละนั้น

ใจของเราก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธ พุทธศาสนาเกิดจากการเสียสละ การเสียสละออกไป หัวใจมันมีอำนาจวาสนา มันมีบารมีขึ้นมา เห็นไหม ในศาสนาพุทธของเรา ถึงบอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เวลาประจำชาติเราก็ว่าเรามีสิทธิคนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นศาสนาประจำใจล่ะ? ถ้าเป็นศาสนาประจำใจของเรานะ ใจของเราจะเป็นสุข เป็นบุญกุศลขึ้นมา ถ้าใจของเราเป็นบุญกุศลขึ้นมา เราจะมีหลักมีเกณฑ์นะ

คำว่ามีหลักมีเกณฑ์ เราจะไม่เป็นเหยื่อของสังคม.. เป็นเหยื่อของสังคม เห็นไหม ดูกระแสมันชักนำไป ถ้าเราไม่มีหลักเกณฑ์ของเรากระแสจะชักนำไป เพราะเราเป็นชาวพุทธแท้ๆ เลย แต่ทำไมเราตื่นเต้นไปกับกระแสสังคม กระแสโลกเขา กระแสโลกนะ ถ้าเราเป็นโลก คำว่าเป็นโลกหมายถึงว่าเราเกิดมาในโลกนี้ มันเป็นโลกโดยธรรมชาติของมัน เป็นโลกโดยความเป็นจริง

แต่คำว่าโลก โลกคือหมู่สัตว์ เห็นไหม สัตตะผู้ข้อง โลกเป็นผู้ข้อง คำว่าโลก โลกคือวิทยาศาสตร์ โลกคือความเป็นไป ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมเหนือโลกนะ ถ้าธรรมเหนือโลก เราเอาความคิด ตรรกะของโลกเข้าไปจับศาสนา เราจะไม่ได้สิ่งใดๆ เลย มันก็เป็นเรื่อง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา

นั่นเป็นเรื่องข้างนอก เป็นเรื่องที่เรามองเห็นนะ แต่อารมณ์ความรู้สึก ความทุกข์ ความสุขในหัวใจที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันไม่ย้อนกลับมาที่ในหัวใจของเราไง เห็นไหม ถ้าย้อนกลับมาที่ในหัวใจของเรานี่ธรรมเหนือโลก เหนือโลกเพราะอะไร? เพราะโลกคือหมู่สัตว์ จิตมาเกิดปฏิสนธิวิญญาณ มาเกิดในไข่ของมารดา เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา

การเกิดทางวิทยาศาสตร์ การเกิดจากพ่อจากแม่ ถ้าการเกิดจากศาสนาคือการเกิดจากกรรม ถ้าจิตนี้มีแรงขับอยู่ มีอวิชชาอยู่ มันต้องมีแรงขับเป็นธรรมชาติของมัน มันต้องขับไป จิตนี้ไม่เคยตาย ว่าจิตนี้ไม่เคยตาย นี่พุทธศาสนาสอนเรื่องอดีตชาติ ชาติปัจจุบัน และชาติอนาคต เห็นไหม ในวิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติ จุตูปปาตญาณ นี่ถ้าจิตยังไม่สิ้นสุดกระบวนการของมัน ต้องเกิดไปในอนาคต ปัจจุบันธรรม เห็นไหม ชาติปัจจุบันนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้ในชาติปัจจุบันนี้ แต่การแก้ที่ชาติปัจจุบันนี้ ก็มีบุพเพนิวาสานุสติญาณเป็นอำนาจวาสนา เป็นบารมีรับรองมา

สิ่งที่รับรองมา เห็นไหม ถ้าชาวพุทธเชื่อเรื่องการเกิดและการตาย ถ้าจิตไม่เคยตาย พอจิตไม่เคยตาย นี่แรงขับของกรรม กรรมทำให้เราเกิด ขับเคลื่อนให้จิตนี้ต้องมาเกิดอีก พอมาเกิดอีก สิ่งที่มาเกิดนี่กรรมพาเกิด แต่ถ้าในวิทยาศาสตร์บอกเราเกิดจากพ่อจากแม่

นี้เป็นเรื่องของโลก ถ้าเรื่องของโลกเราเห็นเป็นวิทยาศาสตร์ เห็นเป็นสิ่งที่พิสูจน์จับต้องได้ แต่ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันลึกซึ้งกว่านั้นไง แต่เวลาเราใช้ตรรกะ เราพิจารณาของเรา เราพิจารณาแบบโลก พิจารณาแบบวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นการพิสูจน์กัน เป็นการสื่อความหมายกัน เป็นภาษาที่เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าไม่รู้เรื่องเราจะสื่อศาสนากันอย่างไร?

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นพระอรหันต์ ๔๕ ปีนั้นที่สื่อสารอยู่ ที่เทศนาว่าการอยู่นั้น เอาอะไรเทศนาว่าการ นี่สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่พระอรหันต์มีชีวิตอยู่ แรงขับในหัวใจนั้นไม่มี แรงขับในหัวใจที่จะทำให้จิตเกิดอีกไม่มี แต่แรงของธรรม อำนาจ ฤทธิ์ในการแสดงธรรม

ฤทธิ์ในพุทธศาสนาสำคัญที่สุดคือการแสดงธรรม เห็นไหม สิ่งที่แสดงธรรมออกมาเพราะอะไร? เพราะธรรมอันนี้มันเป็นธรรมเหนือโลก สิ่งที่ธรรมเหนือโลกเราถึงต้องทำทาน ทานนี่มันเป็นเรื่องของโลกนะ เรื่องของโลกคือความรู้สึกของเรา เรื่องของโลกคือตรรกะ ความรู้สึกของเรานี้มันมาจากไหน? มาจากตัวตนของเรา มาจากทิฐิมานะของเรา มาจากความเห็นของเรา เรื่องโลก โลกียปัญญา

โลกุตตรปัญญา.. ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกุตตรปัญญา เห็นไหม ต้องทำจิตของเราให้สงบเข้ามาก่อน ถ้าจิตเราไม่สงบ ตัวตนของเราทำให้จิตเราไม่สงบ ความฟุ้งซ่าน ความวิตกกังวล ความต่างๆ มันเกิดจากตัวตนของเราทั้งหมดเลย แล้วตัวตนของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ตัวตนของแต่ละคน นี่พันธุกรรมทางจิต จิตที่สร้างมาหลากหลายกัน มุมมองของจิตหลากหลายแตกต่างกัน

ความหลากหลายแตกต่างกัน เห็นไหม ธรรมะก็หลากหลายแตกต่างกัน ธรรมะหลากหลายแตกต่างกัน เพราะความเห็นมุมมองมันแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เป็นสัจธรรม คือผลที่มันเป็นสัจจะความจริง เห็นไหม อริยสัจมีหนึ่งเดียว.. ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณที่เกิดขึ้นมาจะชำระกิเลสให้สิ้นไปจากหัวใจนี้ได้ ถ้าสิ้นจากหัวใจ นี่ใจที่ไม่มีแรงขับ

นี่ธรรมเหนือโลก! แต่ในปัจจุบันนี้เราเอาโลก เอาความรู้สึก เอาความเห็นของเราไปพิจารณาธรรม ไปตรึกในธรรม พอตรึกในธรรมนี่มันเป็นเรื่องของความรู้สึก พอเรื่องของความรู้สึกมันเป็นไปได้ร้อยแปดพันเก้า ถ้าร้อยแปดพันเก้าผลของมันคืออะไร? นี่ผลของมันคือการสร้างภาพในหัวใจของเราขึ้นมา

ถ้าเราเป็นโลก เห็นไหม ฉะนั้น ถ้าโลกของเราเป็นประโยชน์ขึ้นมา คือการเสียสละ นี่ในพุทธศาสนา ศาสนาของเราเป็นศาสนาแห่งการเสียสละ เราเสียสละเรื่องของทาน ในเรื่องของทาน เรื่องของสังคม เรื่องศีลธรรมจริยธรรม การเสียสละ สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข คนเราทำมาหากินมาเพื่อครอบครัว เพื่อความสุขในครอบครัวของเรา ถ้ามันมีที่พึ่งอาศัยแล้ว พอเราชราภาพขึ้นมา พอคนแก่คนเฒ่าเขาจะไปจำศีล

ทาน ศีล.. ศีลนี่เวลาไปจำศีลกัน แต่การภาวนา การภาวนาเราไม่กล้าภาวนากัน โดยทางโลกว่าการภาวนา การนั่งสมาธิ การทำจิตสงบจะทำให้เราวิกลเสียจริตไป นี่ความวิตกกังวลของเขาเป็นอย่างนั้น แต่เพราะปัจจุบันนี้ โลกนี่ทุนนิยม ทุนนิยมต้องทำให้มีการแข่งขัน มีการแข่งขันแล้วมีความกดดันในหัวใจ พอมีความกดดันในหัวใจ เวลาปฏิบัติไปนี่ มันผิดมาตั้งแต่ใจของเรามันมีสิ่งฝังในหัวใจ

แต่ถ้าใจเรา เราทำความสะอาดของใจเรามา เห็นไหม นี่พื้นฐานของใจมันต้องมีความสะอาดของมันขึ้นมา มันต้องมีสิ่งรองรับ ถ้ามีสิ่งรองรับแล้วนี่มันเป็น นี่การภาวนาเกิดขึ้นจากใจที่เป็นคุณธรรม แต่การภาวนาของเราภาวนาแบบโลกๆ ไง โลกๆ คือเอาความเห็น เอาความรู้สึกของเราเข้าไป คำว่าความรู้สึกของเราเป็นโลกใช่ไหม?

โลกกับธรรม! นี่โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน แต่ธรรมเหนือโลก ถ้าเอาโลกไปจับสิ่งที่ต่ำต้อยกว่า ตรรกะของเราไปจับในศาสนา มันจะได้อะไรมาล่ะ? มันก็ได้ความจินตนาการมา เห็นไหม สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ได้จินตนาการ ได้การสร้างภาพของใจขึ้นมา มันไม่เป็นความจริงของมัน เห็นไหม ถ้าเป็นความจริงของมัน การภาวนานี่ ถ้าการภาวนา ครูบาอาจารย์ของเราเวลาภาวนาขึ้นมานี่ค้นหาตัวตนของเราที่ไหน? เวลารุกขมูลเข้าไปอยู่ในป่าในเขา

คำว่าเข้าไปอยู่ในป่าในเขา เราบอกว่าเป็นการไม่สู้สังคม เป็นการไม่ยอมรับความจริง ความจริงคือการคลุกคลีกันในสังคม เราอยู่กันในสังคม เห็นไหม มีการพึ่งพาอาศัยกัน หัวใจมันเข้ามาถึงตัวตนของมันเองหรอก เพราะอะไร? เพราะว่ามันอาศัยแต่คนอื่น เพราะธรรมชาติของใจ เห็นไหม อาการของใจ ความคิด! ความคิดไม่ใช่ใจ ความคิดนั้นที่มันคิดพึ่งพาอาศัยเขามันส่งออกมาจากใจโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

เวลาเราเข้าป่าเข้าเขาไป เราไปอยู่ในรุกขมูล เราไปเที่ยวป่าช้า นี่ความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดที่มันพึ่งใครไม่ได้ ความคิดที่มันต้องหดเข้ามาถึงตัวของมันเอง เห็นไหม เพราะความคิดอันนี้มันเป็นความวิตกกังวล มันเป็นความกลัวทั้งนั้นแหละ สิ่งที่เป็นความกลัว ความกลัวเกิดจากอะไร? เกิดจากตัวตนของเรา ถ้าเกิดจากตัวตนของเรา..

นี่ความคิดอันนี้ อยู่คนเดียว หรืออยู่ในป่าช้า หรืออยู่ในรุกขมูล เห็นไหม ความคิด อยู่คนเดียวให้ระวังความคิดของเรา มันจะคิด มันจะลากให้เราออกมาสู่สังคม สังคมคือความคิด ความคิดที่สื่อความหมายกัน คือภาษา ภาษาความคิดที่สื่อกันให้รู้เรื่อง แต่ตัวจิตนี่คนไม่ต้องสื่อสารกันเลยนะ มองตากัน มองสายตากัน คนสุข คนทุกข์มันซาบซึ้งหัวใจ เห็นไหม นี่สิ่งที่เราเข้าป่าเข้าเขาไปเพื่อไปค้นหาตัวเราไง ค้นหาตัวตนของเราไง

นี่การภาวนา ถ้าการภาวนา แต่เราบอกว่าเข้าไปในป่าในเขา หรือว่าเราพยายามจะภาวนากัน อันนี้มันเป็นการลำบากเปล่า เป็นการที่เสียเวลาเปล่า เห็นไหม แต่เราใช้ปัญญาไปเลย นี่เป็นปัญญาโลกๆ นะ คือเอาโลกจับโลกไง เอาโลกมาจับธรรมะ พอเอาโลกมาจับธรรมะมันก็เป็นความคิดของโลก แต่ถ้าเอาธรรมจับธรรม ถ้าธรรมเข้าถึงธรรมเราต้องเชื่อ นี่เราลงธรรม ลงวินัย ธรรมวินัยบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา.. ทาน ศีล ภาวนา

“โยม..ทาน ศีล ภาวนา.. พระ..ศีล สมาธิ ปัญญา”

ศีล สมาธิ ปัญญา! ถ้ามีสมาธิขึ้นมา สมาธิคืออะไร? สมาธิคือจิตสงบ จิตที่มันสงบขึ้นมา เห็นไหม ถ้าจิตมันมีตัวตนของเรา มีความกระด้างในหัวใจ จิตมันจะสงบได้ไหม? จิตมันสงบนี่จิตมันสมดุลของมัน มันปล่อยวางของมันเป็นอิสระ อิสระจากความคิด ความคิดทำให้จิตไม่สงบ ความคิดนี่เป็นเรา แล้วความคิดมันเกิดจากเรา แล้วเราก็วิตกกังวล ถ้าเราไม่คิดเราจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถ้าเราไม่ใช้สติของเรารับรู้ เราจะไปรู้สิ่งใด?

อยากรู้อยากเห็น ความอยากรู้อยากเห็นมันเป็นโลก เห็นไหม แต่ถ้าเราอยากกระทำ อยากทำความสงบของใจเข้ามา มันสงบเข้ามาอย่างไร? มันมีหลักเกณฑ์ของมันไหม? ให้มันเป็นสัจจะความจริงของมัน สัจจะความจริงของมันเพราะอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน รสชาติของอาหาร นี่เข้ม อ่อน แก่ ต่างๆ กันไป รสชาติจะเป็นความถูกใจของลิ้นนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ความสงบของใจ ถ้าใจสงบ ใจมันมีกำลังของมัน คนมีอำนาจวาสนามากนะ ความสงบพอประมาณมันก็ทำงานของมันได้ แต่ถ้าเราเป็นคนโลเล คนที่ไม่มั่นคง ถ้าจิตเราพอมีหลักมีเกณฑ์ มันต้องสงบมากกว่านี้เพราะให้มันมั่นคง ถ้ามั่นคงขึ้นมา.. นี่ถ้าสมาธิแค่ไหนมันถึงจะออกวิปัสสนา? สมาธิแค่ไหนมันถึงจะใช้ออกวิปัสสนา?

มันใช้ได้ตลอดเวลา มันใช้ปัญญาได้ตลอดเวลา แต่ปัญญาอันนี้ก็เพื่อความสงบ ปัญญาอันนี้ก็เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของใจ ปัญญาอันนี้ เพราะปัญญามันเกิดจากความคิด ปัญญามันเกิดจากจิตไง ปัญญามันเกิดจากความรู้สึกอันนั้น เห็นไหม แต่ถ้ามันสงบขึ้นมา ปัญญาอันนี้มันเกิดจากความสะอาดของใจ ถ้าปัญญานี้เกิดจากความสะอาดของใจ มันเกิดปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร?

มันเกิดปัญญาเพราะจิตสงบมันเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม ตามธรรม ตามข้อเท็จจริง แต่ในปัจจุบันของเรานี่เห็นแต่ความคิด เห็นความคิดมันสร้างภาพขึ้นมา มันทำอย่างไรก็ได้ มันแตกต่างกันนิดเดียว มันแตกต่างกันว่าถ้ามันเห็นจริง มันเหมือนกับว่าเราไม่รู้สิ่งใดเลย แต่ชัดเจนมาก แต่ถ้าเราเห็นของเรา เราใช้ปัญญาของเรานี่มันชัดเจนมากแต่ออกมาแล้วลืมหมดเลย แต่ขณะที่เป็นความจริงเพราะอะไร?

คำว่าไม่รู้อะไรเลยเพราะมันเป็นสัจจะความจริง ไม่มีตัวตน ไม่มีความเป็นเจ้าของของมัน มันเป็นสัจธรรม แต่เวลาความคิดของเรา นี่ความคิดของเรามี ความคิดเราเข้าใจนี่ชัดเจนมากเลย ออกมาลืมหมดเลย ออกมาไม่เข้าใจหมดเลย เห็นไหม สิ่งที่มันไม่เข้าใจเพราะอะไร? เพราะมันเป็นโลกไง มันเป็นโลก โลกมันไม่ใช่ธรรม

แต่ถ้าเป็นธรรม ธรรมนี่เหมือนเราไม่รู้สิ่งใดๆ เลยนะ แต่ออกมานี่มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น ความจริงมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นเพราะอะไรล่ะ? มันเป็นเพราะมันเป็นธรรมไง มันไม่ใช่โลกไง

ถ้าเรื่องของโลก เห็นไหม คือศีลธรรมจริยธรรม เราทำทานกัน เราทำเพื่อความสุขในครอบครัว เพื่อความสุขของเรา เพราะเรารักษาศีลมันมีความสุขที่ละเอียดขึ้น แต่ถ้าเกิดการภาวนาขึ้นมา การภาวนาขึ้นมาเพื่อให้ศาสนามีมรรคมีผล ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมรรคมีผลนะ มันมีเครื่องประดับอาภรณ์ของใจ แต่เราปฏิบัติกันนี้ เราปฏิบัติกันไม่มีอาภรณ์ของใจ ต้องให้คนอื่นประดับให้ ต้องให้คนอื่นให้ค่า มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจัตตังนะ

เวลาผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต.. เวลาผู้ที่เห็นธรรม เห็นไหม นี่พุทธ ธรรม สงฆ์ เกิดจากใจ พุทธ ธรรม สงฆ์ เกิดจากใจมันมั่นคงมาก เวลาเราค้นคว้าในพระไตรปิฎก นี่เราเอากิเลสของเรา เอาความรู้สึกเราไปอ่านในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งอ่านเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาจากใจของเราเอง

มันเป็นขึ้นมาจากใจของเรานะ มันเป็นขึ้นมา! มันเป็นขึ้นมา นี่มันเป็นประสบการณ์จริงอย่างนี้ มันจะมีอะไรคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง มันเป็นความจริงอันเดียวกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เห็นธรรม! เห็นธรรม! นี้มันเห็นกิเลสไง เห็นความคิดไง เห็นการสร้างภาพไง เห็นการสร้างภาพก็เป็นโลกไง เอาโลกเข้าไปจับธรรมไง ถ้าเอาโลกเข้าไปจับธรรมมันก็ได้เรื่องโลกๆ มา เห็นไหม เราจะต้องทำความเป็นจริงนะ เพราะคำว่า “โลกกับธรรม”

วิทยาศาสตร์นี่เป็นโลก ธรรมะมันเกิดจากสัจธรรม สัจธรรม เวลาเราปฏิบัติ จิตสงบนะเราจะตื่นเต้นมาก เราจะเข้าไปนี่อื้อฮือ! อื้อฮือ! เลยนะ แต่นี้ว่างๆ ว่างๆ เหมือนกับที่ว่าเราพูดได้หมด ว่างๆ หมดเลย แต่ออกมาแล้วทำอะไรไม่เป็น.. แต่ถ้ามันอื้อฮือ! อื้อฮือ! มันเป็นความจริงของมันนะ แล้วครูบาอาจารย์นี่ให้น้อมออกไป น้อมออกไปให้เห็นความจริง

สัจธรรมนั้นมันเป็นความจริงเพราะอะไร? มันเป็นความจริงเพราะมันเป็นปัจจุบัน ถ้าจิตมันเป็นนี่จิตเป็นเลย ความรู้สึกกระทบเลย แต่นี่ความรู้สึกอันนี้ส่งผ่านมาที่ความคิด มันเป็นอนาคตไปแล้ว แล้วความคิดมันตรึกธรรม มันเป็น ๒ ขั้นตอน ๓ ขั้นตอนที่มันออกไป แต่มันสันตติ มันเร็วมากๆ

ฉะนั้น เราต้องย้อนกลับให้มันสงบให้ได้ ให้มันเป็นความจริงของมันให้ได้ ถ้าสงบ สงบคือสติ เห็นไหม สติเกิดจากไหน? สติเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต ถ้าสติเป็นจิตนะ พวกเราอยู่นี่จะไม่มีใครหลงลืมเลยเพราะสติมันพร้อม

สติเกิดจากจิต แต่ไม่ใช่จิต! เกิดจากจิต แต่จิตเรามีตลอดเวลา สติมันเกิดชั่วคราวๆ ใช่ไหม? เราฝึกฝนของเราจนมันชำนาญใช่ไหม? ฝึกฝนจนเป็นความจริงกับเรา ถ้าฝึกฝนจนเป็นความจริง ถ้ามีสติ สมาธิมันก็ตามมา ถ้ามีสติ การเคลื่อนไหวของเรา การทำงานของเรา การใช้ปัญญาของเราจะไม่คลาดเคลื่อนเลยเพราะสติมันพร้อม

นี้สติมันขาดๆ เกินๆ ไง เราทำอะไรถึงไม่ประสบความสำเร็จ เห็นไหม เราฝึกฝนจนมัชฌิมาปฏิปทา เวลาจิตมรรคสามัคคีมีความสมดุลของมัน เห็นชัดเจนมากนะ มันเป็นความจริงที่เรารู้จริง

นี่คือเรื่องของธรรม ธรรมกับโลก ถ้าเราเป็นโลก เราก็จะได้ธรรมะแบบโลกๆ เราก็จะใช้ความชั่งใจของเราให้เป็นธรรมขึ้นมา ใจของเราเป็นธรรมต้องศีล สมาธิ ปัญญา มีศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจปกติเราจะไม่พึ่งพิงใครเลย ใจของเราไม่ปกติ เราต้องอาศัยคนอื่นตลอดเวลา เห็นไหม ดูสิคนอ่อนแอต้องให้คนเข้มแข็งคอยประคองไว้ แต่ถ้าจิตเรามันปกติ มันเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าจิตปกติแล้วมันออกทำงานของมัน มันจะเป็นความจริงของมันนะ

นี่ศาสนามีมรรคมีผลจากเรา ทำคุณประโยชน์ ทำทานเพื่อความมั่นคง เพื่อตอกย้ำ นี่ฟังธรรมให้มันมั่นคงขึ้นมา แล้วตัวเรา จิตของเรามีคุณค่ามาก เรารักษาจิตของเรา เพื่อประโยชน์ของเรา เอวัง